วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

มหาวิหารแร็งส์ : Reims Cathedral

มหาวิหารแร็งส์ : Reims Cathedral

สำรวจโลก_มหาวิหารแร็งส์_lg
มหาวิหารแร็งส์ : Reims Cathedral หรือชื่อทางการว่า กาเตดราลนอเทรอ-ดามเดอแร็งส์เป็นมหาวิหารของเมืองแร็งส์ ประเทศฝรั่งเศส ที่เคยใช้ในพิธีสวมมงกุฎกษัตริย์ของประเทศฝรั่งเศส มหาวิหารที่เห็นในปัจจุบันสร้างบนมหาวิหารเดิมที่ถูกไหม้ไปเมื่อค.ศ. 1211 ที่พระเจ้าโคลวิสที่ 1 ผู้ถือกันว่าเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกของฝรั่งเศสได้ทำพิธีรับศีลจุ่มจากนักบุญเรมี เมื่อค.ศ. 496
มหาวิหารสร้างเสร็จเมื่อปลายคริสต์ศตวรรษที้ออ 13 ยกเว้นด้านหน้าซึ่งมาเสร็จเอาอีกศตวรรษหนึ่งต่อมา แต่ยังเป็นสถาปัตยกรรมของคริสต์ศตวรรษที่ 13 ทางเดินกลางขยายให้ยาวขึ้นเพื่อให้มีเนื้อที่เพียงพอกับผู้ที่เข้าร่วมพิธีสวมมงกุฎ หอสูง 81 เมตรย่อจากแบบเดิมที่ออกแบบให้สูง 120 เมตร หอด้านใต้มีระฆังสองใบ ใบหนึ่งคาร์ดินาลแห่งลอเรนตั้งชื่อให้ว่า “ชาร์ลอต” เมื่อปีค.ศ. 1570 ซึ่งหนักกว่า 10,000 กิโลกรัมหรือ 11 ตัน
 
ประตูทางเข้าด้านหน้ามีสามบาน แต่ละบานเต็มไปด้วยรูปปั้นทั้งใหญ่และเล็กประดับ ประตูกลางอุทิศให้กับพระแม่มารี เหนือประตูแทนที่จะเป็นหน้าบันหินแกะสลักกลับเป็นหน้าต่างกุหลาบกรอบเป็นซุ้มโค้งที่ประกอบไปด้วยรูปปั้น เหนือระดับประตูเป็นระเบียงตรงกลาง และด้านล่างเหนือประตูจะมีหน้าต่างกุหลาบบานใหญ่อีกบานหนึ่ง ถัดขึ้นไปจากนั้นเป็นระเบียงรูปปั้นพระเจ้าแผ่นดิน (gallery of the kings) ซึ่งมีรูปปั้นพระเจ้าโคลวิสที่ 1 รับศึลจุ่มอยู่ตรงกลาง
 
ทางเดินกลางของมหาวิหารยาว 138.75 เมตร กว้าง 30 เมตร สูง 38 เมตร ทางเดินกลางขนาบด้ายทางเดินข้าง แขนกางเขนก็เป็นทางเดินหลายช่อง บริเวณสงฆ์เป็นทางเดินคู่ หลังมุขมีทางเดินรอบ และคูหาสวดมนต์กระจายออกไปทางด้านหลัง ภายในมีหน้าต่างประดับกระจกสีที่สร้างระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 13 ถึง 20
 
มหาวิหารแร็งส์ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ เมื่อปี ค.ศ. 1862 และได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกเมื่อปี ค.ศ. 1991

พระราชวังฟงแตนโบล

พระราชวังฟงแตนโบล

สำรวจโลก_Fontainebleau_lg
พระราชวังฟงแตนโบล : Palace of Fontainebleau  เป็นพระราชวังที่ตั้งอยู่ราว 55 กิโลเมตรจากศูนย์กลางของกรุงปารีสในประเทศฝรั่งเศส ที่เป็นพระราชวังหลวงที่ใหญ่ที่สุดพระราชวังหนึ่งของฝรั่งเศส สิ่งก่อสร้างที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นงานที่สร้างขึ้นและต่อเติมเปลี่ยนแปลงโดยพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศสหลายพระองค์ ส่วนที่ก่อสร้างในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นส่วนที่สร้างโดยพระเจ้าฟรองซัวส์ที่ 1
พระราชวังฟงแตนโบล ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกในปี ค.ศ. 1981
เดิมตั้งอยู่ ณ ที่ตั้งที่ใช้สอยมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ที่สร้างโดยพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 7 โดยมีทอมัส เบ็คเค็ทเป็นผู้ประกอบพิธีสถาปนาชาเปล ฟงแตนโบลเป็นที่ประทับอันเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าฟิลิปที่ 2 และ พระเจ้าหลุยส์ที่ 9
 
ฟงแตนโบลเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นแรกที่นำฝรั่งเศสเข้าสู่ยุคแมนเนอริสม์ในด้านการตกแต่งภายใน และทางด้านการออกแบบตกแต่งสวน การตกแต่งภายในแบบแมนเนอริสม์ของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษที่ 16 เรียกกันว่าการตกแต่ง “แบบฟงแตนโบล” ที่เป็นการตกแต่งที่รวมทั้งงานประติมากรรม, งานโลหะ, จิตรกรรม, งานปูนปั้น และงานไม้
 
ส่วนภายนอกสิ่งก่อสร้างก็เริ่มมีการสวนแบบสวนลวดลาย ฟงแตนโบลรวมจิตรกรรมที่เป็นอุปมานิทัศน์เข้ากับงานปูนปั้นที่เป็นกรอบรอบที่ตกแต่งคล้ายม้วนที่รวมลายอะราเบสก์ และลายวิลักษณ์ ความสวยของสตรีในอุดมคติของจิตรกรรมแบบฟงแตนโบลจะเป็นความสวยแบบแมนเนอริสม์ ที่เหมือนจะกลับไปมีลักษณะของปลายกอธิค
 
 งานศิลปะที่สร้างที่ฟงแตนโบลได้รับการบันทึกอย่างละเอียดเป็นงานพิมพ์ที่เป็นที่แพร่หลายกันในบรรดานักนิยมศิลปะ และ ศิลปินเอง งานที่สร้างเป็นงานพิมพ์จาก “ตระกูลการเขียนแบบฟงแตนโบล” ที่เป็นลักษณะของการงานศิลปะแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์เผยแพร่ไปยังบริเวณทางตอนเหนือของยุโรป โดยเฉพาะที่อันท์เวิร์พ และเยอรมนี และในที่สุดก็ไปถึงอังกฤษ
 
ในปัจจุบันฟงแตนโบลเป็นที่ตั้งของสถาบันศิลปะอเมริกันฟงแตนโบล  ซึ่งเป็นสถาบันสำหรับนักศึกษาศิลปะ, สถาปัตยกรรม และ ดนตรีจากสหรัฐอเมริกา สถาบันก่อตั้งขึ้นโดยนายพลจอห์น เจ. เพอร์ชิง เมื่อมาตั้งกองบัญชาการอยู่ระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง

Le Mont-Saint-Michel

Le Mont-Saint-Michel

สำรวจโลก_MtStMichel_lg
มง-แซ็ง-มีแชล : Le Mont-Saint-Michel คือวิหารที่ตั้งอยู่บนเกาะโดดเดี่ยวกลางทะเลชายฝั่งตะวันตก บริเวณจังหวัดม็องช์ แคว้นบัส-นอร์ม็องดีของประเทศฝรั่งเศส ได้รับประกาศจากองค์การยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกเมื่อปี พ.ศ. 2522 ภายใต้ชื่อ มง-แซ็ง-มีแชลและอ่าว

ในปีหนึ่งจะมีนักท่องเที่ยวไปเยี่ยมเยือนมง-แซ็ง-มีแชลกว่า 3 ล้าน 2 แสนคน ซึ่งทำให้ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยงยอดนิยมอันดับที่ 3 ของประเทศฝรั่งเศสรองลงมาจากหอไอเฟลและพระราชวังแวร์ซาย
ตัวเกาะอันเป็นที่ตั้งของวิหารนั้นเป็นหินแกรนิต โดยมีเส้นรอบวงเกาะประมาณ 960 เมตร และสูง 92 เมตร แล้วถ้าบวกกับความสูงของตัววิหารนั้นแล้วก็จะมีความสูงถึง 155 แมตร บนยอดวิหารเป็นรูปปั้นทองของเทวดามีแชล (ไมเคิล) สร้างโดยเอมานูแอล เฟรมีเย (Emmanuel Frémiet)
 
ตึกสร้างแบบศิลปะโกธิกที่เด่นมากคือ ตึกลาแมร์เวย หรือ ยอดมหัศจรรย์ ประกอบด้วย หมู่กุฏิโรงทาน กุฏิโรงรับรอง และเป็นที่เลี้ยงอาหาร มีระเบียงซึ่งตกแต่งไว้อย่างงดงาม ช่วยให้ความงามอันแท้จริงของศิลปะโกธิกเด่นชัดขึ้น
 
ก่อนที่จะมีการสถาปนาราชวงศ์แรกของฝรั่งเศสขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8 เกาะนี้เคยถูกเรียกว่า มงตงบ์ และตามตำนาน วิหารที่อยู่บนเกาะนี้ถูกสร้างโดยการแนะนำของเทวดามีแชล ที่ได้เข้าฝันนักบุญโอแบร์ บิชอปแห่งมาฟร็องช์เมื่อปี พ.ศ. 1251 แต่เขาก็มิได้ปฏิบัติตาม เนื่องจากนึกว่าปีศาจได้มาเข้าฝัน เขาจึงได้เพิกเฉยไป จนมาถึงการฝันครั้งที่ 3 มีแชลได้ใช้นิ้วของเขาจิ้มที่หัวของโอแบร์ และเมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็ได้ตะลึงว่ามีรูอยู่บนหัวจริง ๆ จากนั้นมาเขาจึงตัดสินใจสร้างวิหารบนยอดเขา

พีระมิด บอล : Ball Pyramid

พีระมิด บอล : Ball Pyramid

ballpyramid_lg
Ball Pyramid เป็นภูเขาที่เกิดจากเศษที่เหลือจากการกัด กร่อนของภูเขาไฟมีอายุราว 7 ล้านปีมาแล้ว ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเกาะลอร์ด ฮาว ในมหาสมุทรแปซิฟิกออสเตรเลีย ความสูงอยู่ที่ 562 เมตรเหนือน้ำทะเล มีความยาว 1,100 เมตร และกว้างเพียง 300 เมตร มันถูกค้นพบขึ้นในปี 1788

พีระมิดถูกตั้งชื่อตามผู้ที่ค้นพบ คือ Henry Lidgbird Ball เป็นนักธรณีวิทยา ภูเขาถูกปืนขึนไปถึงยอดในปี 1965โดยทีมนักปีนเขาจาก ซิดนีย์ ในปี 1982 ได้มีกฎห้ามไม่ให้ปีนเขาภายใต้พระราชบัญญัตเกาะลอร์ดฮาว ในปี 1990ได้มีการผ่อนเรื่องการปีนเขาแต่ก็มีกฎที่เข้มงวดสำหรับผู้คนที่จะไปปีน
ใน 2001 นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแมลง Dryococelus Australis หรือที่รู้จักกันว่าแมลงลอร์ดฮาว นักวิทยา -ศาสตร์ได้ค้นพบพวกมันอาศัยอยู่ภายใต้พุ่มไม้ ที่กำลังเติมโตอยู่ท่ามกลางร่องน้ำเล็กๆในพีระมิดบอล เป็นจำนวน 24 ตัว ก่อนถูกค้นพบนักวิทยาศาสตรคิดว่ามันศุนย์พันธ์ไปตั้งแต่ปี 1930 เลยนำมันกลับไป 2 คู่เพื่อที่จะผสมพันธุ์
ที่สวนสัตย์แปซิฟิก แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ
เส้นทางที่จะไปถึง พีระมิดบอล ได้นั้นต้องเป็นเรือเพียงอย่างเดียว

เกรทแบร์ริเออร์รีฟ : Great Barrier Reef

เกรทแบร์ริเออร์รีฟ : Great Barrier Reef

สำรวจโลก_Great-Barrier-Reef_lg
เกรทแบร์ริเออร์รีฟ : Great Barrier Reef เป็นพืดหินปะการังที่ยาวที่สุดในโลกยาวกว่า 2,000 กิโลเมตร อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศออสเตรเลีย หรือตอนใต้ของทะเลคอรัล เริ่มตั้งแต่แหลมยอร์ก (Cape York) ซึ่งอยู่ไกลขึ้นไปทางเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ลงมาถึงบันดะเบอร์ก (Bundaberk) ทางตอนใต้ ครอบคลุมดูแลพื้นที่215,000 ตารางไมล์หรือ 345,000 ตารางกิโลเมตร
แนวปะการังใหญ่แบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ แนวปะการังเหนือ (Northern Reef) หมู่เกาะวิตซันเดย์ (Whitsunday Island) และแนวปะการังใต้ (Southern Reef) มีสิ่งชีวิตมากมาย ทั้งปะการังชนิดอ่อน และชนิดแข็ง สีสวยกว่า 350 ชนิด ตลอดจนปลา และสิ่งมีชีวิตในทะเลที่ต่าง ๆ อีก 1500 ชนิด
เมื่อ 25 ล้านปีก่อนทางตอนเหนือของรัฐควีนส์แลนด์ น้ำมีอุณหภูมิที่เย็นเกินไปไม่เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของหินปะการัง ดังนั้นประวัติการพัฒนาการของเกรตแบร์ริเออร์รีฟจึงมีความซับซ้อน แต่หลังจากที่รัฐควีนส์แลนด์เคลื่อนตัวเข้าไปอยู่ในเขตร้อนชื้น การพัฒนาของเกรตแบร์ริเออร์รีฟก็ได้รับอิทธิพลจากการเจริญของแนวหินปะการัง
จนมาถึงภาวะตกต่ำที่สุดของการเจริญเติบโตเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเล ณ ตอนนี้แนวหินปะการังนี้สามารถเพิ่มเส้นผ่านศูนย์กลางได้ประมาณ 1 ถึง 3 เซนติเมตรต่อปี และเจริญเติบโตในแนวตั้งตรงได้ประมาณ 1 ถึง 25 เซนติเมตรต่อปี แต่อย่างไรก็ตามแนวหินปะการังก็สามารถเติบโตได้ในความลึกประมาณ 150 เมตร เนื่องจาก
หินปะการังนั้นต้องการแสงอาทิตย์และไม่สามารถเจริญเติบโตเหนือระดับน้ำทะเลได้
เมื่อ 20,000 – 6,000 ปีก่อน ระดับน้ำทะเลขึ้นทำให้หินปะการังสามารถเจริญเติบโตในที่สูงกว่าเดิมได้ เช่น เนินเขาบนที่ราบใกล้ชายฝั่ง เนื่องจากเมื่อประมาณ 13,000 ปีก่อนระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 60 เมตรเท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าระดับน้ำทะเลในปัจจุบัน และเป็นเพราะเหตุการณ์ในอดีตทำให้แนวหินปะการังแห่งนี้เจริญเติบโตจนมีขนาดใหญ่มหาศาล เราจึงเรียกสิ่งมหัศจรรย์นี้ว่าเกรทแบร์ริเออร์รีฟ (Great Barrier Reef)

แมวซิงกาปูร่า : Singapura

แมวซิงกาปูร่า : Singapura

Singapura-cat_lg
ซิงกาปูร่า (Singapura) มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่ประเทศสิงคโปร์ เป็น 1 ในสายพันธุ์ที่หายาก มีเพียงสีเดียวเท่านั้นคือ สี Sepia agouti (สีน้ำตาลแต้มบนสีงาช้าง) ถือเป็นแมวสายพันธุ์ขนาดเล็ก Singapura ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์จนเป็นที่รู้จักและได้รับรางวัลในปี ค.ศ.1988 และเนื่องจากไม่นิยมผสมข้ามสายพันธุ์ จึงทำให้มีเพียง 2,000 ตัวในโลก
เป็นแมวที่มีดวงตาขนาดใหญ่กลมรีเหมือนเมล็ดอัลมอน หูสีน้ำตาลมีใบหูใหญ่และบอบบาง ฐานเปิดกว้าง เหมือนถ้วยก้นลึก ขอบใบหูแหลมเป็นมุม ขนสั้นเกรียนติดผิวหนัง เรียบลื่นและแวววาว คล้ายกับที่พบในแมวพันธุ์ Abyssinian กระต่าย กระรอก ตัวโกเฟอร์ มีแถบสีที่ขาหน้าด้านในและเข่าหลัง ตัวเต็มวัยอาจมีน้ำหนักประมาณ 5 กิโลกรัม
เป็นแมวที่ชอบความอบอุ่น นักล่าที่ดี ร่าเริง มีชีวิตชีวา สนใจสิ่งรอบข้าง ฉลาด ชอบอยู่ใกล้คนและไม่ก้าวร้าวกับสัตว์อื่น ชอบเล่นอะไรแปลก ๆ ชอบท่องเที่ยว ชอบนอนบนตัวคนและชอบอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
ในปี 2004 สวนสัตว์สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพในการจัดแสดงแมว Singapura เพื่อเฉลิมฉลองวันชาติของประเทศ มีแมวSingapura 39 ตัว ซึ่งเป็นแมวที่ได้รับเชิญมาทำการประกวดในงานอีกด้วย การซื้อการในประเทศอังกฤษค่าตัวของแมว Singapura สูงถึง £300-400 ประมาณ150000 – 20000 บาท

Snow Rollers

Snow Rollers

snow-roller_lg
Snow Rollers คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดจากการพัดของลมที่พัดเอาเกล็ดหิมะที่ตกใหม่ๆ กลิ้งไปตามพื้นดินที่เป็นน้ำแข็งอีกทั้งยังปกคลุมไปด้วยหิมะ และในบางครั้งหากความเร็วของลมบวกกับอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมโดยรอบมีความเหมาะสม ขนาดของ Snow Rollers ก็อาจจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางมากถึง 2 -3 ฟุตเลยทีเดียว
Snow Rollers เป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในธรรมชาติ มันมีความแตกต่างกับการที่เราปั้น snowmen ขึ้นมาเพราะ Snow Rollers จะมีลักษณะกลมๆ กรวงๆ คล้ายโดนัทที่มีขนาดใหญ่ และมีความบอบบาง พื้นดินที่จะเกิดSnow Rollers ได้นั้นต้องมีหิมะปกคลุมเป็นชั้นน้ำแข็ง
การเกิด Snow Rollers นั้น นอกจากหิมะต้องแข็งแล้ว ลมที่จะพัดต้องมีความแรงมากแล้วก็จะพัดหิมะให้ม้วนเป็นวงกลมไปตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยที่มันจะก่อตัวขนาดเล็กแล้วค่อยม้วนตัวจนมีขนาดใหญ่

มาชูปิกชู : Machu Picchu

มาชูปิกชู : Machu Picchu

machu_picchu_lg
มาชูปิกชู : Machu Picchu หรือนิยมเรียกอีกชื่อว่า เมืองสาบสูญแห่งอินคา เป็นซากอารยธรรมโบราณของชาวอินคา ตั้งอยู่บนเทือกเขาสูงในประเทศเปรูที่ความสูงประมาณ 2,350 เมตร อารยธรรมแห่งนี้ได้ถูกลืมโดยคนภายนอกจนกระทั่งมีการค้นพบอีกครั้งโดย นักโบราณคดีที่ชื่อ ไฮแรม บิงแฮม เมื่อ พ.ศ. 2454 มาชูปิกชูเป็นหลักฐานที่สำคัญของจักรวรรดิอินคา
ในปี พ.ศ. 2526 องค์กรยูเนสโกได้กำหนดมาชูปิกชูให้เป็นมรดกโลก โดยทำให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่คนนิยมไปศึกษาประวัติศาสตร์ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 มาชูปิกชูได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่จากการลงคะแนนทั่วโลกทั้งทางอินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือ
มาชูปิกชู คาดว่าสร้างขึ้นราวปี ค.ศ. 1450 โดยจักรพรรดิปาชากูตีของชาวอินคา มาชูปิกชู ถูกปล่อยทิ้งไว้นับร้อยปีเพราะชาวสเปนรบชนะเปรูแล้วก็ฆ่าคนเปรูและคนอินคา เมืองอินคาเลยถูกปล่อยร้างไว้แล้วก็มีกษัตริย์เข้าไปพบเมืองร้างแห่งนี้แล้วแพร่ข่าวไปทั่วโลก
มาชูปิกชูตั้งอยู่ห่างจากเมืองกุสโกไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 70 กิโลเมตรบนยอดของทิวเขามาชูปิกชูที่ระดับ 2,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล สถานที่แห่งนี้นับเป็นศูนย์กลางที่มีความสำคัญยิ่งทางโบราณคดีของอเมริกาใต้ และเป็นตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวเกือบทุกคนที่มาเยือนประเทศเปรู ในปี พ.ศ. 2546 มีผู้คนประมาณ 400,000 คน ไปท่องเที่ยวที่มาชูปิกชู
จากยอดเขา ณ หน้าผามาชูปิกชู เป็นหน้าผาที่มีลักษณะดิ่งชันสูงถึง 600 เมตรจากฐานที่เป็นแม่น้ำคือ แม่น้ำอา-รูบัมบา ที่ตั้งของตัวเมืองนับเป็นความลับทางการทหารก็เนื่องจากการเป็นหน้าผาสูงชันที่มีอันตรายที่เป็นปราการป้องกันธรรมชาติอันยอดเยี่ยมนั่นเอง

เทพีเสรีภาพ : The Statue of Liberty

เทพีเสรีภาพ : The Statue of Liberty

Statue-of-Liberty-145
หญิงสาวสวมชุดยาวมือขวาถือคบไฟแห่งปัญญามือซ้ายถือหนังสือกฎแห่งสถาปัตย กรรมสูงสุดที่มีวันประกาศอิสรภาพของอเมริกาจารึกไว้หรือที่เรารู้จักกันในนามของ “เทพีเสรีภาพ”ที่ตั้งเป็นจุดสนใจและคอยต้อนรับผู้มาเยือนนิวยอร์ค สหัฐอเมริการิกา มิได้มีความสำคัญเพียงแค่การสร้างรูปปั้นยักษ์เท่านั้น แต่มันจะต้องสร้างอารมณ์ในหัวใจของผู้ที่ได้ชม มิใช่เพียงเพราะความมโหฬารแต่เพราะว่าขนาดใหญ่นั้นเทียบกับแนวความคิดที่แฝงอยู่เบื้องหลัง
ดินแดนที่มันตั้งอยู่บนนั้น รูปปั้นจึงเป็นพียงสัญลักษณ์ เป็นเพียงสิ่งที่ทำขึ้นจากทองแดง หินแกรนิต และโลหะ สิ่งที่มันบอกให้เราเกิดความรู้สึก แต่ภายในจิตใจต่างหากที่สำคัญ เราทุกคนล้วนเป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากบรรพบุรุษซึ่งทำงาน และต่อสู้ในวาระต่าง ๆ ทุ่นเทกำลังจนสุดก้นบึ้งของวิญญาณเพื่อให้ได้มาซึ่งเสรีภาพ ถ้าเราอยากจะรู้จักกับรูปปั้นนี้จริง ๆ เราควรจะเริ่มต้นจากคำถามที่ว่า “เสรีภาพคืออะไร”เสรีภาพคืออารยธรรมสูงสุด และชั่วร้ายน้อยที่สุดในโลก เสรีภาพคือ การไร้ซึ่งข้อจำกัด และขอบเขต หรือสิ่งที่กีดขวางทั้งปวง มันคืออิสรภาพของบุคคล ซึ่งทำในสิ่งที่อยากทำ เป็นตัวของตัวเองตามที่ต้องการนั้นคือเสรีภาพ มันไม่ใช่ความสุข ไม่มีหน้าที่รับผิดชอบ ไม่ใช่ความจริง แต่มันคือการได้เป็นตัวของตัวเอง
ในฤดูใบไม้ร่วงปี 1875 ณ ถนนที่พักอาศัยอันเงียบสงบในกรุงปารีส ซึ่งไม่เคยมีเรื่องร้ายแรงเกิดขึ้น งานสร้างรูปปั้นแบบที่ไม่เคยมีการสร้างมาก่อนได้เริ่มขึ้น มันคือของกำนัลที่ประชาชนฝรั่งเศส พึงจะมอบให้ประชาชนสหรัฐอเมริกาซึ่งจะเฉลิมฉลองอุดมการณ์ที่เรียกว่า “เสรีภาพ” เมื่อเสร็จสมบูรณ์ มันจะกลายเป็นรูปปั้นที่สูงที่สุดในโลก คบไฟทะยานสูงเหนือท่าเรือ 305 ฟุต สูงยิ่งกว่าสะพานบรุคลิน(Brooklyn Bridge) ที่เพิ่งสร้างเสร็จใหม่ ๆ มันถูกสร้างโดยมือของชายชาวฝรั่งเศสในกรุงปรารีส ขณะที่ผู้อพยพชาวอิตาลีนำหินก้อนใหญ่มาปูวางรากฐานในนครนิวยอร์คและประชาชนธรรมดาชาวฝรั่งเศสและอเมริกันเป็นผู้จ่ายเงินค่าก่อสร้าง มันคือผลงานสร้างสรรค์เบื้องหลังการผลักดันของ เฟรเดอริก ออกุสเต้ บาร์โทลดี้(Frederic August Bartholdi) เขาเป็นผู้ออกแบบแนวคิดเกี่ยวกับการเฉลิมฉลองอิสรภาพของอเมริกัน และยังแฝงไว้ด้วยแนวคิดอันลึกซึ้งซึ่งเป็นการรวมความก้าวหน้าทั้งหมดของยุคสมัยปัจจุบันเอาไว้ นั่นก็คือเสรีภาพที่ทำให้โลกรุ่งเรือง เขาเลือกที่จะนำเสนอแนวคิดอันยิ่งใหญ่นี้ด้วยรูปปั้นขนาดยักษ์ที่ยิ่งใหญ่กว่ารูปปั้นทั้งหลายที่เคยมีมาในอดีต เป็นอนุสรณ์ความสัมพันธ์ ฝรั่งเศสและอเมริกา มันจะไม่เหมือนกับรูปปั้นทองเหลืองที่มีไว้เกทับศัตรู โดยประกาศอย่างภูมิใจว่า มันถูกสร้างขึ้นมาจากกระสุนปืนใหญ่ของฝ่ายตรงข้ามรูปปั้นทำด้วยทองแดงบริสุทธิ์ซึ่งเป็นผลผลิตจากแรงงานและสันติภาพ
นอกจากนี้ยังได้รับอิทธิพลจาก กลุ่มฟรีเมสันส์ (The Freemasons) ซึ่งเป็นองค์กรระดับสากลที่เกี่ยวข้องกับผู้สร้างปิรามิดและมหาวิหารในอดีตกลุ่มฟรีเมสันเชื่อในสันติภาพ เสรีภาพและการรู้แจ้ง จอร์จ วอชิงตัน ก็เป็นหนึ่งในกลุ่มฟรีเมสันสัญลักษณ์ของกลุ่มฟรีเมสันนี้ปรากฏอยู่บนรูปปั้นเทพีเสรีภาพอีกด้วยนั่นก็คือ คบไฟเปลวไฟแห่งสติปัญญาของมนุษย์ หนังสือ กฏแห่งสถาปัตยกรรมสูงสุด ที่มีวันประกาศอิสรภาพของอเมริกาจารึกไว้ด้วย
ในการก่อสร้างมีการตั้งโรงงานสำหรับการสร้างรูปปั้นนี้โดยเฉพาะ และคนงานประกอบด้วยชาย 50 คนที่ช่วยกันระดมค้อนทุบลงไปบนแผ่นทองแดงเพื่อทำบริเวณผมของรูปปั้น มีการสร้างแม่แบบขนาดใหญjสามชิ้น ซึ่งอันสุดท้ายมีขนาดใหญ่เท่ากับหนึ่งในสี่ของขนาดจริง การขยายขึ้นแต่ละครั้งต้องอาศัยการวัดมากกว่า 9 พันครั้งด้วยท่อประปาจากนั้นก็นำมาคูณทบทวีครั้งแล้วครั้งเล่า ในที่สุดรูปปั้นขนาดจริง
ก็ถูกสร้างขึ้นมาจากโครงไม้ก่อน ก่อนจะคลุมด้วยปลาสเตอร์ แล้วนำมาสลักให้เป็นรายละเอียด ช่างฝีมือใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการแกะสลักนิ้วมือ นิ้วเท้า และขนตา วันที่ 13 พฤษภาคม1876 คนงานที่นำดินมาโปะและเกลี่ยให้ราบเรียบดูราวกับคนแคระเมื่อเทียบกับนิ้วเพียงนิ้วเดียวของรูปปั้น เมื่อแกะสลัก ปลาสเตอร์เรียบร้อย ก็มีการสร้างแม่แบบจากไม้ โดยทำทุกชิ้นส่วนให้ตรงกับแม่แบบ ที่อีกมุมหนึ่งของโรงงาน คนงานได้นำแผ่นทองแดงหน้าเท่ากับเหรียญเงินนำมาทุบให้แบนจนกระทั่งมีรูปทรงส่วนโค้ง
ส่วนเว้าเหมือนกับต้นแบบ เมื่อเสร็จเรียบร้อย แผ่นทองแดงสามร้อยส่วนก็พร้อมประกอบ คนงานได้จัดการแยกชิ้นส่วนรูปปั้นและบรรจุใส่ลัง 210 ลัง แล้วนำบรรทุกขึ้นเรือรบสีขาวทรงเรียบชื่ออิแซ (Isere) รูปปั้นเริ่มออกเดินทางเมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 1885 และเกือบจะไปไม่ถึง เมื่อแล่นไปได้ครึ่งทางเรืออิแซ ประสบพายุ กว่า 72 ชั่วโมง เรือต้องดิ้นรนตั้งลำให้ตรงขณะที่สัมภาระขนาดมหึมาทำท่าจะทำให้เรือพลิกคว่ำอยู่ตลอดเวลา เรือเกือบร้อยลำ มารอต้อนรับเรืออิแซ เมื่อมาถึงท่าเรือนิวยอร์ค และมีพิธีเฉลิมฉลองอย่างมโหฬาร นี่คือสัญลักษณ์ขนาดมหึมายืนอยู่หน้าประตูสู่ประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่นักรบ ไม่ใช่ภาพที่โอ้อวดข่มขวัญหรือน่าเกรงขาม ไม่ใช่สัญลักษณ์แห่งอำนาจแต่รูปปั้นเทพีเสรีภาพคือศรัทธาของคนที่อยากให้เกิดสันติภาพบนโลกใบนี้

ปริศนาเรือโนอาห์ : Noah Ark

ปริศนาเรือโนอาห์ : Noah Ark

noahs_lg
ในพระคัมภีร์ของสามศาสนาที่ยิ่งใหญ่ซึ่งได้ถือกำเนิดขึ้นในดินแดนตะวันออกกลางอันได้แก่ศาสนา จูเดอิซึ่ม คริสต์ อิสลามได้ปรากฏเรื่องราวของเหตุการณ์อุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ ที่ทำให้ชื่อของ “โนอาห์ (Noah)” ยังคงถูกจารึกและเป็นที่เล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้เรื่องราวนี้ยังคงเป็นปริศนาสำหรับชนรุ่นหลังว่า เคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงเช่นนั้นจริงหรือไม่? เหตุการณ์ดังกล่าวนั้นเกิดขึ้น ณ ที่ใด ?
ดร. โรเบิร์ต บัลลาร์ด (Dr. Robert Ballard)ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจใต้ท้องทะเลซึ่งเป็นผู้ที่ได้จารึกประวัติศาสตร์การค้นพบอันยิ่งใหญ่ โดยการค้นพบซากเรือไททานิค (Titanic) ที่จมสงบนิ่งอยู่ ณ พื้นมหาสมุทรแอตแลนติก (Atlantic Ocean)ได้เดินทางมายัง “ทะเลดำ (Black Sea)” ตามคำเชิญชวนอันแสนเย้ายวนใจของผืนน้ำที่ได้ซุกซ่อนความลับเอาไว้อย่างมากมายการเดินทางของ ดร. บัลลาร์ด เริ่มต้นจากความปรารถนาที่จะค้นพบซากเรือไม้โบราณที่ถูกเก็บรักษาเอาไว้อยู่อย่างสมบูรณ์ภายใต้น้ำทะเลที่เป็นพิษด้วย “ไฮโดรเจน ซัลไฟด์ (Hydrogen Sulfide)”ซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดอาศัยอยู่ได้ ไม่เว้นแม้แต่ปลวกแห่งทะเลจอมทำลายเนื้อไม้ซึ่งจะกัดกินทุกอย่างที่เป็นสิ่งชีวภาพแรงปรารถนาของ ดร. บัลลาร์ด ได้ถูกจุดประกายโดยหนังสือของนักสมุทรศาสตร์ที่มีนามว่า “วิลลาร์ด บาสคอม (Willard Bascom)” ซึ่งได้บรรยายองค์ประกอบอันสุดแสนพิเศษของทะเลดำไว้ในหนังสือเล่มนั้น
แต่ก่อนหน้าการเดินทางเพียงไม่นาน ความสนใจของ ดร. บัลลาร์ด ก็ถูกหันเหไปโดยหนังสือของสองนักธรณีวิทยาผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ที่มีนามว่า “วิลเลี่ยม ไรอัน” และ “วอลเตอร์ พิทแมน” ซึ่งได้นำเสนอทฤษฎีใหม่ที่น่าสนใจเกี่ยวกับกำเนิดของทะเลดำแห่งนี้
ทฤษฎีดังกล่าวได้เสนอถึงจุดกำเนิดของทะเลดำว่าทะเลแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยอุทกภัยครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ซึ่งผู้ที่รอดชีวิตก็ได้บอกเล่าเรื่องราวในครั้งนั้นสืบทอดกันมาหลายต่อหลายรุ่น จนกระทั่งได้ถูกบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร – ซึ่งก็คือเรื่องราวของ โนอาห์ และเรือของเขา
ไรอัน และ พิทแมน ได้สันนิษฐานถึง การเกิดน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่ในปลายยุคน้ำแข็งสุดท้าย เมื่อราวๆ 12,000 ปีก่อน พวกเขาได้ค้นพบตำนานที่มีความคล้ายคลึงกับเรื่องราวของโนอาห์อย่างน่าประหลาด ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เล่าขานกันในตะวันออกกลาง ก่อนที่เรื่องของโนอาห์จะถูกบันทึกไว้เมื่อ 700 ปีก่อนคริสตกาล
ก่อนหน้าการบันทึกตำนานเรื่องโนอาห์ราว 1 พันปี ชาวสุเมเรียน (Sumerians) ได้บันทึกมหากาพย์เรื่อง “กิลกาเมช (Gilgamesh)” และมีการบรรยายถึงอุทกภัยครั้งร้ายแรง ในเรื่อง กิลกาเมชได้พบกับผู้รอดชีวิตจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ที่ได้รับคำเตือนจากพระผู้เป็นเจ้าว่า จะมีน้ำท่วมเกิดขึ้น, จงเร่งสร้างเรือ, ให้นำครอบครัว และฝูงสัตว์มาไว้ที่เรือ และอุทกภัยที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ตามมาด้วยฝนและลมพายุ ที่ได้ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง ยกเว้นผู้รอดชีวิต อันได้แก่ ครอบครัว และเรือของเขา รวมถึงเหล่าสรรพสัตว์ที่ได้โดยสารมาบนเรือด้วย
เราจะเห็นได้ถึงความคล้ายคลึงกันระหว่างเรื่องราวของ กิลกาเมช และ โนอาห์ ซึ่งต่างก็กล่าวถึงชายที่ถูกสั่งให้สร้างเรือขนาดใหญ่ และนำสัตว์ขึ้นไปไว้บนเรือ, อุทกภัยที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่าง รวมไปถึงน้ำท่วมที่ปกคลุมทุกสิ่งทุกอย่างไปทั่วโลก แม้แต่เรื่องของการปล่อยนกพิราบ สิ่งนี้เองที่เป็นแรงดึงดูดให้ ไรอัน และ พิทแมน ให้ความสนใจกับทะเลในแถบตะวันออกกลาง โดยครั้งนี้ได้พุ่งเป้ามาที่ ทะเลดำ
ไรอัน และ พิทแมน เคยได้รับเชิญให้เข้าร่วมกับทีมนักวิทยาศาสตร์รัสเซีย ในปีคริสตศักราช 1993 ในการเดินทางไปตรวจสอบทะเลดำ ซึ่งก็ทำให้พวกเขา ได้พบสิ่งที่ยืนยันว่า ทะเลดำซึ่งแต่เดิมเป็นทะเลสาบน้ำจืดที่มีขนาดเพียง 2 ใน 3 ของปัจจุบัน ซึ่งในยุคน้ำแข็งสุดท้าย แผ่นดินนั้นอุ่นขึ้น จึงทำให้ทะเลสาบเหือดแห้งลงไป และได้ทิ้งคราบไว้ นั่นก็คือ การพบคราบดังกล่าวที่ความลึกลงไป 90 เมตร, 110 เมตร และลึกที่สุดอยู่ที่ 156 เมตร ใต้ท้องทะเลดำ
นอกจากนี้ เขายังพบหลักฐานการปรากฏตัวของสัตว์น้ำเค็ม ในที่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นทะเลสาบน้ำจืดอีกด้วย ผลจากการพิสูจน์นั้นแสดงออกมาว่า หอยน้ำเค็มล้วนแต่ปรากฏตัวขึ้นทุกระดับความลึกของทะเลดำ ในเวลาเดียวกัน ซึ่งก็คือเมื่อ 7,600 ปีก่อนจากทฤษฎีของ ไรอัน และ พิทแมน ก็ทำให้ภารกิจของ ดร. บัลลาร์ด ณ ทะเลดำแห่งนี้มีถึง 2 ภารกิจด้วยกันนั่นก็คือการค้นหาหลักฐานของการที่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้ และการค้นหาซากเรือโบราณ
เขาเริ่มต้นด้วยการสำรวจแนวชายฝั่งเก่าแก่ ด้วยการใช้โซน่าร์กวาดผ่านไปทั่วบริเวณ โดยมีเป้าหมายในการค้นหารูปแบบของสิ่งก่อสร้าง โครงสร้าง หรือรั้ว และอื่นๆ ที่จะดึงดูดให้เข้าไปค้นหาเพิ่มเติม
แล้วเขาก็ได้รับสัญญาณเสียงสะท้อนโซนิก ตรวจพบวัตถุที่ก้นทะเล เขาจึงตัดสินใจหย่อน “อาร์กัส (Argus)” ซึ่งเป็นกล้องเคลื่อนที่ลงไป และ ดร. บัลลาร์ด พร้อมทั้งทีมงานก็ได้เห็นชิ้นส่วนของไม้ที่อยู่ลึกลงไป 100 – 155 เมตร พร้อมทั้งซากของสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะที่พักอาศัยฝีมือมนุษย์
ดร. บัลลาร์ด ไม่ได้คาดหวังที่จะพิสูจน์เรื่องราวในพระคัมภีร์ หากแต่ว่าเขากำลังตามรอยประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติทว่า ถ้าเขาสามารถแสดงให้เห็นได้ว่า ผู้คนเคยอาศัยอยู่ที่นี่มาก่อนที่จะถูกน้ำท่วม สิ่งนี้ก็จะเป็นการค้นพบอันยิ่งใหญ่ของเขา
หลังจากการส่ง อาร์กัส ลงสู่พื้นทะเลแล้ว ดร. บัลลาร์ด ตัดสินใจส่งยานดำน้ำที่ไม่มีคนบังคับชื่อ “ลิตเติ้ล เฮิร์ค(Little Herc)” ลงไปเพื่อถ่ายภาพที่มีความคมชัดเป็นพิเศษและก็อาจจะเก็บตัวอย่างดินมาได้ด้วยสิ่งที่พวกเขาได้เห็นจากการถ่ายทอดของ ลิตเติ้ล เฮิร์ค ก็ได้เผยให้เห็นถึงรายละเอียดที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
ภาพดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงโครงสร้างของสิ่งก่อสร้างฝีมือมนุษย์ จากนั้นก็ได้เก็บเอาดินขึ้นมาเพื่อทำการตรวจสอบทางด้านโบราณคดี รวมทั้งซากชิ้นส่วนไม้ที่พบด้วย และความพยายามของพวกเขาก็ประสบผลสำเร็จ เพราะผลจากการตรวจสอบดินนั้น ยืนยันแนวคิดที่ว่า เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ ณ ที่แห่งนี้ ถึงแม้ว่าชิ้นส่วนไม้นั้นจะเป็นของในยุคใหม่อายุราว 200 ปีก่อน